วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้ กลุ่มสตอเบอรี่พิ้ง



ภูมิปัญญาในด้านประเพณีความเชื่อ
ประเพณีความเชื่อ 
       เรื่องวัฒนธรรมและประเพณีในวิถีชีวิตชาวปักษ์ใต้ในรอบปีเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างนั้น อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ 1.ประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาโดยตรง เช่น งานเทศกาลเข้าพรรษา ออกพรรษา งานวิสาขบูชา 2.ประเพณีที่มีการสืบเนื่องจากศาสนา เช่น งานบุญเดือนสิบ แห่ผ้าขึ้นธาตุ สวดด้าน การลากพระ การเล่นเพลงเรือ การชิงเปรต 3.ประเพณีที่จัดให้มีขึ้นตามฤดูกาลหรือวาระ เช่น งานแรกนาขวัญ งานแข่งเรือ งานบวชนาค งานสมรส งานทำศพ งานให้ทานไฟ งานสงกรานต์ งานทำบุญหมู่บ้าน เป็นต้น
       แต่เนื่องจากประเพณีมีมากจึงขอนำมากล่าวเฉพาะที่สำคัญ ในสมัยวัฒนธรรมทองที่ยังพอมีลมหายใจอยู่บ้าง และได้เข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้มีบทบาทอิทธิพลเสมือนยาดำ ต่อการจัดระเบียบทางสังคมและการดำรงคุณธรรมของชาวบ้าน ได้อาศัยศาสนาเป็นแกนและใช้วัฒนธรรมประเพณีเป็นตัวช่วยให้เกิดบูรณาการ (Integration) เติมเต็ม ทำให้คนพื้นเมืองมีอัตลักษณ์และมีคุณภาพมีจริยธรรมสามารถรักษาสถาบันทางสังคมเข็มแข็งที่เป็นลักษณะเฉพาะ (Unique Strength) เป็นมรดกล้ำค่าน่าภูมิใจและเป็น “ต้นทุนชีวิต” สืบมาได้จากวันนี้


ภูมิปัญญาในด้านประเพณีความเชื่อ


ประเพณีให้ทานไฟประเพณีเล่นเพลงเรือ
ประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคูประเพณีแรกนาขวัญ
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นพระธาตุประเพณีสารทเดือนสิบ
ประเพณีกินผักประเพณีสงกรานต์
ประเพณีไล่โรคห่าประเพณีสวดด้าน
ประเพณีลากพระประเพณีสวดพระมาลัย
ประเพณีตักบาตรธูปเทียน


           ประเพณีลากพระ (ชักพระ)




ช่วงเวลา วันลากพระ จะทำกันในวันออกพรรษา คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยตกลงนัดหมายลากพระไปยังจุดศูนย์รวม วันรุ่งขึ้น แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ จึงลากพระกลับวัด

ความสำคัญ
เป็นประเพณีทำบุญในวันออกพรรษา ปฏิบัติตามความเชื่อว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนไปรับเสด็จ แล้วอัญเชิญพระพุทธเจ้าประทับบนบุษบกแล้วแห่แหน

พิธีกรรม
๑. การแต่งนมพระ
นมพระ หมายถึงพนมพระเป็นพาหนะที่ใช้บรรทุกพระลาก นิยมทำ ๒ แบบ คือ ลากพระทางบก เรียกว่า นมพระ ลากพระทางน้ำ เรียกว่า "เรือพระ" นมพระสร้างเป็นร้านม้า มีไม้สองท่อนรองรับข้างล่าง ทำเป็นรูปพญานาค มีล้อ ๔ ล้ออยู่ใต้ตัวพญานาค ร้านม้าใช้ไม้ไผ่สานทำฝาผนัง ตกแต่งลวดลายระบายสีสวย รอบ ๆ ประดับด้วยผ้าแพรสี ธงริ้ว ธงสามชาย ธงราว ธงยืนห้อยระยาง ประดับต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้สดทำอุบะห้อยระย้า มีต้มห่อด้วยใบพ้อแขวนหน้านมพระ ตัวพญานาคประดับกระจกแวววาวสีสวย ข้าง ๆ นมพระแขวนโพน กลอง ระฆัง ฆ้อง ด้านหลังนมพระวางเก้าอี้ เป็นที่นั่งของพระสงฆ์ ยอดนมอยู่บนสุดของนมพระ ได้รับการแต่งอย่างบรรจงดูแลเป็นพิเศษ เพราะความสง่าได้สัดส่วนของนมพระขึ้นอยู่กับยอดนม
๒. การอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนนมพระ
พระลาก คือพระพุทธรูปยืน แต่ที่นิยมคือ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พุทธบริษัทจะสรงน้ำพระลากเปลี่ยนจีวร แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนนมพระ แล้วพระสงฆ์จะเทศนาเรื่องการเสด็จไปดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า ตอนเช้ามืดในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ชาวบ้านจะมาตักบาตรหน้านมพระ เรียกว่า ตักบาตรหน้าล้อ เสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนนมพระ ในตอนนี้บางวัดจะทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อให้การลากพระราบรื่น ปลอดภัย
๓. การลากพระ
ใช้เชือกแบ่งผูกเป็น ๒ สาย เป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย โดยใช้โพน (ปืด) ฆ้อง ระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะเร้าใจในการลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสานเสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรง
ตัวอย่าง บทร้องที่ใช้ลากพระสร้อย :
อี้สาระพา เฮโล เฮโล
ไอ้ไหรกลมกลม หัวนมสาวสาว
ไอ้ไหรยาวยาว สาวสาวชอบใจ


ภูมิปัญญาในด้านศิลปการแสดง
ศิลปะการแสดง
        มหรสพหรือศิลปะการแสดง ที่ถือกันว่ามีรสชาติมาก เป็นเอกลักษณ์ เป็นยอดที่นิยม เป็นจิตวิญญาณ เป็นคุณวิเศษ และอิทธิพลทุกรูปแบบของมันได้ซึมซับเข้าไปในสายเลือด เสมือนเป็นชีวิตจิตใจของชาวปักษ์ใต้มาแต่โบราณ มีอย่างน้อย 2 อย่าง คือ หนังตะลุงกับมโนราห์ ดังมีคำพูดติดปากว่า “มาแต่ตรัง ไม่หนังก็โนราห์” คือเปรียบว่า คนพื้นเมืองนั้นมีคุณภาพอย่างน้อยจะต้องเป็นหรือเล่นได้ ไม่หนังตะลุงก็ต้องมโนราห์สักอย่างหนึ่งเป็นแน่ และถือกันว่าเป็นวิชาความรู้พิเศษ เป็นแนวทางแก่ชีวทัศน์ เป็นคุณสมบัติติดตัวคนพื้นเมืองมาช้านาน คนปักษ์ใต้ทั่วไปแม้จะร้องเล่นไม่เป็น แต่ก็มีความรู้ความเข้าใจซาบซึ้งตรึงใจมิรู้ลืม เพราะทั้งหนังตะลุงและมโนราห์เป็นผู้ให้ทั้ง “ปัญญาและอารมณ์” แก่ผู้คนพลเมือง การละเล่นการแสดงเหล่านี้จึงถือเป็นมหรสพที่ให้ความบันเทิงอย่างที่สุดและเป็นสื่อที่ให้สารัตถะเข้าถึงในดวงใจของเขาหที่สุด ทั้งหนังตะลุงและมโนราห์เชื่อกันว่าเป็นศิลปะการแสดงที่มีกำเนิดพื้นฐานมาตั้งแต่สมัยตามพรลิงค์ หรือสมัยศรีวิชัย และเป็นพลวัตขับดันต่อการสร้างพลังเอกลักษณ์ให้เป็นมหรสพคู่บ้านคู่เมือง ที่เจริญรุ่งเรื่องอยู่บนแหลมมลายูสืบมาก่อนนาน มิใช่เพิ่งเกิดในสมัยอยุธยาอย่างที่เข้าใจกัน อันเป็นสมัยที่การแสดงชนิดนี้พัฒนารูปแบบมาจนสมบูรณ์และผสมผสานกับการละเล่นอย่างอื่นไปมากแล้ว

ภูมิปัญญาในด้านศิลปการแสดง

ดาระมะโย่ง
ดีเกฮูลูหนังตะลุง
กาหลอเพลงบอก
กรือโต๊ะรองเง็ง
ลิเกป่าซัมเป็ง
มโนราห์ตือรี
แกะหนังตลุง
                                ลิเกฮูลู  

ลิเกฮูลู หรือดิเกฮูลู มาจากคำว่า ลิเก หรือดิเก และฮูลู ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่าลิเกหรือ ดิเกมาจากคำว่า ซี เกร์ หมายถึง การอ่านทำนองเสนาะ ส่วนคำว่าฮูลู แปลว่า ใต้หรือทิศใต้ รวมความแล้วหมายถึง การขับบทกลอนเป็นทำนองเสนาะจากทางใต้

วิธีการเล่น
วิธีการเล่น เริ่มแสดงดนตรีโหมโรงเพื่อเร้าอารมณ์คนดู สมัยก่อนมีการไหว้ครูในกรณีที่มีการประชันกันระหว่างหมู่บ้าน หรืออาจมีหมอผีของแต่ละฝ่ายปัดรังควานไล่ผีคู่ต่อสู้ก็มี ปัจจุบันสู้กันด้วยศิลปคารมอย่างเดียว เมื่อลูกคู่โหมโรงต้นเสียงจะออกมาร้องทีละคน เริ่มด้วยวัตถุประสงค์ของการแสดง หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่เรื่องราว อาจจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมือง หรือความรักของหนุ่มสาว หรือเรื่องตลก ในกรณีที่มีการประชัน หรือบางครั้งก็เป็นเรื่องราวการกระทบกระแทก เสียดสีกัน หรือหยิบปัญหาต่าง ๆ มากล่าวเพื่อให้ผู้ชมชื่นชอบในคารมและปฏิภาณ

โอกาสและเวลาที่เล่น
แต่เดิมนิยมแสดงในงานพิธีต่าง ๆ เช่น เข้าสุหนัต งานแต่งงาน (มาแกปูโล๊ะ) ปัจจุบันลิเกฮูลูยังแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ ร่วมกับมหรสพอื่น ๆ บางท้องที่ก็แสดงในงานพิธีสำคัญ เช่น พิธีถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น

คุณค่า แนวคิด สาระ
การแสดงลิเกฮูลูยังสามารถเผยแพร่รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงภัยร้ายของยาเสพติด ยาบ้า ปัญหาโรคเอดส์ ความสะอาดและอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน

ภูมิปัญญาในด้านกีฬาการละเล่น
กีฬาการละเล่น        กีฬาการเล่นสนุกของชาวพื้นเมืองปักษ์ใต้ เดิมคงจะมีหลายอย่างต่อมาค่อยหดหายไปดังนั้น การประมวลองค์ความรู้เข้าด้วยกัน เพื่อให้เห็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ที่นำมากล่าวถึงไว้นี้ก็คัดเลือกเฉพาะที่สำคัญน่าสนใจ และสรุปย่อตามความเหมาะสม ผู้ที่ต้องการรายละเอียดพิสดารอาจดูได้ตามเชิงอรรถ และงานที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในหนังสืออื่น
ภูมิปัญญาในด้านกีฬาการละเล่น

ชนไก่แข่งนกเขา
ชนวัวแข่งสิละ
หัวล้านชนกันแข่งว่าว
แข่งเรือหมากขุม




                          แข่งนกเขา



       แข่งนกเขา เป็นนกเขาชวาหรือนกเขาเล็กนิยมเลี้ยงไว้ฟังเสียงขันที่ไพเราะ เพื่อความสุขใจเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาในสังคม หรือเลี้ยงไว้ดูเล่นยามว่างแก้รำคาญเป็นงานอดิเรกและถือเป็นสัตว์สิริมงคลนำโชคลาภมาให้ด้วย จึงนิยมเลี้ยงกันมากตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไป โดยเฉพาะทางสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด ไปทางไหนจะพบเสาสูงปักหน้าบ้านเพื่อชักรอกให้นกขึ้นไปผึ่งแสงแดดตอนเช้า และพ่นน้ำเสมอ มีการเพาะพันธุ์ขายส่งต่างประเทศ เกิดอุตสาหกรรมต่อกรงนกสวยงามราคาแพงจำหน่าย มีการจัดงานแข่งขันฟังเสียงทั้งระดับประเทศและนานาชาติเป็นประจำเกือบทุกปีที่จังหวัดยะลา นกที่แข่งขันชนะบ่อยจะมีราคาแพงมากบ้านของผู้มีอันจะกินมักจะต้องหานกเขาชวาเสียงดีๆ มาเลี้ยงไว้ประดับบ้าน เสียงนกเขาชวามี ๓ เสียง คือ เสียงใหญ่ เสียงกลาง และเสียงเล็ก นกที่ขันเสียงมีปลายหรือมีกังวานถือเป็นนกที่ดี การแข่งขันนกเขาชวาจะจัดทั้ง ๓ ประเภทเสียง และการพิจารณายังต้องดูคารมลีลาจังหวะการขัน เช่น ช้า เร็ว อีกด้วย


ภูมิปัญญาในด้านอาหารการกิน
อาหารการกิน       มีสำนวนคำพูดหรือคำพังเพยที่เกี่ยวกับอาหารการกินพื้นบ้านของชาวปักษ์ใต้อยู่หลายคำ อันสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เช่น นครพุงปลา สงขลาผักบุ้ง พัทลุงลอกอ (เมืองนครศรีธรรมราชมีพุงปลามาก ส่งไปขายยังจังหวัดใกล้เคียง เมืองสงขลาปลูกผักบุ้งกันทั่วไป ส่วนเมืองพัทลุงอุดมสมบูรณ์ด้วยมะละกอ) ยุ่งเหมือนหมวดข้าวยำ (ยุ่งเหยิงสิ้นดี) แกงผักให้หนักเคย แกงบอนให้หย่อนเคย (บอกวิธีปรุงอาหาร) เดือน ๑๑ เดือน ๑๒ พุงช้างพุงม้า เดือน ๔ เดือน ๕ พุงนกพุงรอก (หน้าร้อนกินข้าวอร่อยสู้หน้าฝนไม่ได้) กินเหนียว (งานแต่งงาน) กินดีเหมือนน้ำชุบแม่กิมโหย (แม่กิมโหยเป็นแม่ครัวของพระยารัษฎานุประดิษฐ์เทศาภิบาล ตำน้ำพริกอร่อยนัก) กินเหมือนไฟเดือนห้า (หิวจัด) กินเหมือนยัดบอก (กินจุมาก) กินเหมือนแพะตาบอด (กินเอากินเอา) กินเหมือนแพะข้อง (กินจนหมดเกลี้ยง) กินข้าวกับพรก ใบบกต้มเกลือ (จนแสนสาหัสต้องใช้กะลาแทนจาน) กินจนสิ้นเหมง (จนยากไม่มีอะไรเหลือหรอเลย) ช่อนแกงส้ม หมอต้มหลุกตุก ดุกไหลไก่คั่ว วัวแกงที่ ปลาดี จี่ใส่ห่อ (บอกวิธีเลือกชนิดทำอาหาร) เป็นต้น
       รสนิยมและวัฒนธรรมประเพณีการกินการอยู่ของคนแต่ละภาคไม่เหมือนกัน ชาวปักษ์ใต้ชอบอาหารรสเผ็ดจัด ถึงเครื่องปรุงเครื่องเทศรสชาติเข้มข้น ขมิ้นเหลือง ดีปลี เคย เกลือ ฯลฯ ขาดครัวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวแกงธรรมดาหรือขนมจีน จะต้องมี “ผักเหนาะ” (ผักแกล้ม ผักแนม) เต็มเพียบสำรับ คือชอบกินผักมากเป็นพิเศษ ถือเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของชาวใต้เพราะผักเหนาะนอกจากช่วยชูรส ช่วยลดความเผ็ดร้อนแล้ว พืชผักต่างๆ ยังเป็นเครื่องสมุนไพรช่วยบำรุงรักษาร่างกายอย่างดี คนโบราณจึงไม่ค่อยปรากฏเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ โรคเหน็บชา และอื่นๆ มีร่างกายแข็งแรงลูกหูลูกตาดี เพราะพืชผักสมุนไพรมีสารที่มีคุณสมบัติเป็นพฤกษเคมีหรือเป็นยารักษาโรคได้ สามารถต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้ ผักเหนาะโดยมากเป็นยอดอ่อนลูกอ่อนของต้นไม้ต้นพืชซึ่งมีนับร้อยชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อเช่น สะตอ เนียง เหรียง สะตอเบา (กระถิน) ยอดยาร่วง ลูกฉิ่ง ขนุนอ่อน ยอดจิก ยอดหมุย ยอดเหม็ดชุน ยอดมะปริง ยอดมะปราง ยอดมะตูม ยอดมะกอก ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือ ฯลฯ ชาวปักษ์ใต้มักจะพูดว่าอาหารมื้อนี้ “หรอยจังหู” หรือ “หรอยราสา” หมายความว่า อร่อยเหลือเกิน หรืออร่อยถึงใจนัก
       ในชีวิตประจำวัน ตอนเช้าจะเห็นผู้ชายไปนั่งชุมนุมกันที่ร้านขายกาแฟเนืองแน่นทุกร้านและทุกหนแห่งไม่ว่าในเมืองนอกเมืองนับแต่เช้าตรู่ มักเรียกกันว่า “สภากาแฟ” เนื่องจากนิยมดื่มน้ำชากาแฟ (เรียกโกปี้เป็นกาแฟโบราณคั้นสดๆ จากถุงไม่นิยมแบบสมัยใหม่) และมีขนมจำพวกข้าวเหนียวห่อ (ดำ - ขาว - เหลือง)  ข้าวเหนียวปิ้ง จาก๊วย (ปลาท่องโก๋) ขนมจีบ ซาลาเปา ฯลฯ และขนมอื่นๆ ในท้องถิ่น วางเต็มถาดเป็นอาหารประกอบมื้อเช้า ใครมีข่าวสาร ใครมีธุระปะปัง เรื่องลับเรื่องแจ้ง เรื่องการเมือง เรื่องร้ายเรื่องดีต่างก็จะนำมาเสวนาวิพากษ์วิจารณ์บอกเล่ากันที่ร้านกาแฟ เพื่อได้รับรู้ทัศนะแลกเปลี่ยนความรู้ข่าวสาร ได้รับการเผยแพร่อย่างรวดเร็วและกว้างขวางกันทั่วชุมชน ใครอยากหาเสียงหรือฟังข้อคิดเห็น ฟังแนวโน้มคะแนนนิยมเลือกตั้งก็ต้องไปที่ร้านกาแฟ เพียงชั่วโมงเดียวก็รู้ เพราะร้านกาแฟมีตั้งแต่คนถีบสามล้อไปจนถึงเถ้าแก่ พ่อค้า ข้าราชการ
        ส่วนผู้หญิงถ้าไม่กินข้าวที่บ้าน ตามตลาดร้านค้า ตลาดนัด ก็มีขนมจีน มีข้าวแกง และข้าวยำเป็นอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมสูง เรื่องข้าวยำไม่มีที่ไหนมีชื่อโด่งดังเท่า “ข้าวยำสงขลา” มีรสชาติอร่อยเป็นเจ้าตำรับมานาน ถ้าเป็นของชาวไทยเชื้อสายมลายูชายแดนก็จะมีความแปลกออกไป แต่ก็อร่อยน่ากินไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตามเพื่อความเข้าใจง่าย ใคร่ขอสรุปเรื่องอาหารการกินแบบพื้นเมืองของชาวปักษ์ใต้ เฉพาะที่เห็นว่าเป็นเอกลักษณ์มีลักษณะเด่นแปลกเฉพาะตัวและเป็นที่น่าสนใจศึกษาดังนี้

ภูมิปัญญาในด้านอาหารการกิน

แกงพุงปลาข้าวยำ
แกงส้มกินเหนียว
ขนมจีนน้ำบูดู
ไข่เค็มไชยาปลาฉิ้งฉ้าง
ซาลาเปาทับหลีอาหารทะเลแปรรูป


น้ำบูดู





“น้ำบูดู” เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาทะเล มีลักษณะเป็นน้ำข้นพอควรใช้ เป็นเครื่องปรุงรสอาหารหรือเครื่องจิ้ม คล้ายน้ำปลา ใช้ปรุงรสเป็นเครื่องจิ้มเช่นเดียวกับน้ำพริก สำหรับประเทศไทย จากการรับเอาแบบอย่างจากชาวอินโดนีเซียทำให้ ชาวปะเสยะวอ มีการดัดแปลงปรับปรุงวิธีการผลิต“น้ำบูดู” เนื่องจากสภาพพื้นที่ประกอบกับวัตถุดิบ มีจำนวนมาก นำมาใช้บริโภค จำหน่าย แล้วยังเหลือจึงเก็บหมักดองไว้ในภาชนะ แล้วนำออกมาบริโภคและแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วไป จากการทำไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน แจก ให้แก่เพื่อนบ้าน แลกเปลี่ยน มาจำหน่ายให้กับคนในชุมชน และนอกชุมชนซึ่งต่อมาได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนปลาที่ใช้หมักดองเป็น”ปลากะตัก”เนื่องจากมีรสชาติ ดีกว่า


ภูมิปัญญาในด้านสิ่งของเครื่องใช้พื้นบ้าน
สิ่งของเครื่องใช้พื้นบ้าน       สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ บรรดามีที่คนพื้นบ้านพื้นเมืองภาคใต้ ใช้สอยตามวิถีชีวิตในพื้นถิ่น (Folklore or Folklife) ประจำวันนั้นมีมากเช่นเดียวกับคนในภูมิภาคอื่น แต่อาจจะมีรูปแบบแตกต่างกันบ้างตามอิทธิพลสิ่งแวดล้อม และวัตถุสิ่งของเหล่านั้นก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาวบ้านคิดทำขึ้นใช้เองด้วยฝีมือ ความเรียบง่าย ตามวัตถุประสงค์ ประโยชน์ใช้สอยอยู่บนพื้นฐานของอาชีพ สังคม วัฒนธรรม และภูมิปัญญา ลางอย่างก็มีลักษณะผสมผสานระหว่างความเป็นศิลปะและความเป็นหัตถกรรม นอกจากนี้ยังมีการรับถ่ายทอดอิทธิพลระหว่างกันกับประชานในภูมิภาคอื่นด้วย ดังนั้นคุณค่าความงาม ความโดดเด่น นอกจากทักษะ/ฝีมือประสบการณ์ ลักษณะงานการใช้สอยแล้วยังขึ้นกับวัสดุพื้นถิ่นธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และขนบธรรมเนียมประเพณีนิยมเป็นองค์ประกอบด้วย
       ส่วนการอนุรักษ์ (Preservation) วัฒนธรรมพื้นบ้านประเพณี ก็ขึ้นกับองค์ประกอบปัจจัยหลายอย่าง เช่น วัสดุ รูปแบบ ประโยชน์ใช้สอย คุณค่า ความจำเป็น ฯลฯ จะพอใช้สอยเท้าเหยียบย่ำซ้ำรอยเดิมอยู่ร่ำไปคงไม่ได้ ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนบ้างตามเหตุผล ความเหมาะสม แต่ส่วนที่เป็นสารัตถะหรือ แกนเอกลักษณ์อันเป็นหัวใจหลักของโครงสร้างจำเป็นต้องคงรูปรักษาไว้ คือ จิตวิญญาณลักษณะท่าทางของพื้นบ้านพื้นเมืองจะต้องแสดงให้เห็นได้ตลอดไป และควรจะได้ส่งเสริมให้พัฒนาเจริญเติบโตที่เน้นนวัตกรรม โดยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ออกมาให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
       เครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นของพื้นบ้านที่ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ชาวประมง หรือประชาชนพลเมืองทั่วไปใช้สอยในชีวิตประจำวัน ที่จะขอนำมากล่าวถึงนี้เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อประกอบการศึกษาเปรียบเทียบเท่านั้น

ภูมิปัญญาในด้านสิ่งของเครื่องใช้พื้นบ้าน

ด้งกรงนก
แกะกรงต่อนกคุ่ม
กระสอบเครื่องหาบหิ้ว
เกี่ยวกุบหมาก
ค้อมไก่เหล็กขูด
กระบอกขนมจีนเหล็กไฟตบ
เครื่องใช้ในครัวหมาตักน้ำ
เครื่องมือจับปลามีดพร้า
ครกสีสาด
เครื่องย่านลิเพาผ้าบาติกอันดามัน
กริชผลิตภัณฑ์จักสานใบเตย
ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวหมวกกะปิเยาะห์
ผลิตภัณฑ์กระจูดผ้าคลุมผมสตรีปักจักร


ผ้าคลุมผมสตรีปักจักร
ผ้าคลุมผม (ฮีญาบ) เป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้กันเป็นประจำในชีวิตประจำวันของสตรีมุสลีมะห์ทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งผ้าคลุมผมเป็นสิ่งที่สตรีมุสลิมขาดไม่ได้ ในพื้นที่ชายแดนใต้ เป็นพื้นที่อาศัยของชุมชนมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ งานฝีมือด้านการปักจักรเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดกันมา คนในชุมชนจึงมีแนวคิดรวมกลุ่มสตรีในชุมชน เพื่อรักษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการจัดตั้งกลุ่มสตรีดาหลา ปักผ้าคลุมผม เสื้อสตรีมุสลิมปักลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของสตรีมุสลิม ฝีมืองานด้านการปักจักรของกลุ่มสตรีดาหลา มีลวดลายที่สวยงามประณีตเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากได้ผ่านงานด้านการปักจักรมานาน มีความชำนาญด้านการปักจักรมานานกว่า 20 ปี กลุ่มสตรีดาหลาเริ่มจัดตั้ง เมื่อปี ๒๕๔๗ และได้รับการสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้รับคัดสรรผลิตภัณฑ์ ระดับ ๕ ดาว ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป็นที่นิยมของตลาด เช่น ผ้าคลุมผม เสื้อสตรีมุสลิมปักลาย ผ้าละหมาด เป็นต้น



                                                                ผ้าคลุมผม











กริช
กริชรามัน จัดอยู่ในกริชสกุลช่างปัตตานี เรียกว่า กริชตะยง หรือ กริชจอแต็ง รูปลักษณ์ของด้ามกริชมองดูผิวเผินด้ามกริชจะมีจมูกยาวแหลมคล้ายปากนกกระเต็น รูปลักษณ์ที่แท้จริงคือ ยักษ์ในตัววายัง หรือตัวหนังของชวาที่เคยเข้ามามีอิทธิพลในศิลปกรรมท้องถิ่นของเมืองปัตตานีในอดีต กริชชนิดนี้มีใช้กัน ตั้งแต่พื้นที่ในจังหวัดสงขลาตอนใต้ลงไป
ส่วนกริชของจังหวัดยะลามีชื่อและประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน คือ กริชเมืองรามันเมื่อประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ ปีก่อน เจ้าเมืองรามัน หรืออำเภอรามัน จังหวัดยะลา ในปัจจุบัน ประสงค์จะให้มีกริช เป็นอาวุธคู่บ้านคู่เมือง และต้องการมีกริชประจำตัวด้วยถึงกับเชิญช่างผู้ชำนาญการจากประเทศอินโดนีเซีย มีชื่อว่า ปาแนซาระห์ (ปาแน แปลว่า ช่าง ซาระห์ เป็นชื่อที่เจ้าเมืองตั้งให้) มาทำกริชที่เมืองรามันในรูปแบบปัตตานีและรูปแบบรามัน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ จนกริชรูปแบบนี้ถูกเรียกขานในท้องถิ่นว่า กริชรูปแบบปาแนซาระห์ ตามชื่อของช่างทำกริชชาวชวา
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการสืบทอดการทำกริช ในพื้นที่เมืองรามัน โดยเฉพาะที่ตำบลตะโละหะลอ มาหลายชั่วอายุคนจวบจนปัจจุบัน กริชที่เมืองรามันนิยมทำเป็นหัวนกพังกะมากกว่าชนิดอื่น นกพังกะ คือนกที่มีปีกและตัวสีเขียวปากยาวสีแดงอมเหลือง คอขาวบ้างแดงบ้าง
นอกจากนี้ยังทำเป็นหัวรูปไก่ หัวงูจงอาง และรูปคน ส่วนใหญ่สลักด้วยไม้หรือกระดูกปลา กริชมีหลายรูปแบบ เช่น กริชแบบกลุ่มบาหลีและมดูรา กริชแบบชวา กริชแบบคาบสมุทรตอนเหนือ กริชแบบบูฆิส กริชแบบสุมาตรา กริชแบบปัตตานี กริชแบบซุนดาหรือซุนดัง และกริชแบบสกุลช่างสงขลา




ลักษณะที่โดดเด่นของกริชรามันห์ คือ มีการแกะสลักหัวกริชด้วยเอกลักษณ์ท้องถิ่นภาคใต้ ใช้ไม้ตามธรรมชาติ ลวดลายสวยงามทั้งหัวกริช ตัวกริช และด้ามกริช

ที่มา   http://poompanyapaktai.freevar.com/index2.html 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น